อุทาหรณ์!! สาวเปิดใจลบรอยสัก"คิ้ว-แก้ม"เอง สุดท้ายหน้าพังเละ กว่าจะแก้ไขได้แทบแย่

 เมื่อวันที่ 15 ม.ค. น.ส.ริสริน อุทัยวรรณ หรือโมย่า อายุ 40 ปี เปิดใจกับ"ข่าวสดออนไลน์"ว่า เป็นช่างเสริมสวยทำผมทำคิ้วมา 9 ปี ชอบเรียนรู้ด้วยตนเองศึกษาจากยูทูปลองผิดลองถูก เริ่มจากการสักคิ้ว สักตา และทดลองกับตนเอง โดยการลองเข็มจากใบหู เพราะเข็มสักมีหลายขนาด ต้องลองให้รู้ว่าเข็มไหนจะเข้ากับขนคิ้วแบบไหน

 แม้สาวเจ้าจะไม่ตอบปัดโจ่งแจ้ง แต่ข้อความที่แจงผ่านอินสตาแกรม "waiiwaii.p" ก็คล้ายจะปฏิเสธซะส่วนใหญ่

 ทว่า พอไปเปิดใจในรายการ "เอิ๊กโชว์" ที่มีคิวออกอากาศ 15 ม.ค. ทางช่อง 8 เวลา 12.00 น. และ 16.00 น. สาวเจ้ากลับบอกยิ้มๆ "ก็ค่ะ ประมาณนั้น อัพลุคส์นิดหนึ่ง"

  น.ส.ริสรินกล่าวว่า ต่อมามีคนทักโหงวเฮ้งว่าคิ้วใหญ่ไป ตนจึงลบคิ้วด้วยตนเอง โดยการสั่งซื้อยาสมุนไพรจากอินเตอร์เน็ต อ่านจากซองแล้วเริ่มลบเอง ปรากฎทำแล้วออกมาบวมแดง เพราะต้องใช้น้ำยาลบรอยสักทับลงไป พอเราทำเองแล้วน้ำยามันกระเด็น ทำไปได้นิดหน่อยก็ต้องหยุด โทรไปหาคนขายสมุนไพร เขาบอกว่าให้มาเรียนวิธีลบคิ้วจากเขา เราจึงอาสาเป็นหุ่นให้เขาสาธิต

หลังสักคิ้วเอง

   "ใช้เวลา 1-2 ช.ม. รู้สึกแสบๆตึงๆ ตอนเช้าจะบวมมาก และรอน้ำยาเข้าไปเสาะกับสีหมึกครบ 7 วัน ต้องแกะแผลออก แกะออกมาคิ้วกลายเป็นแผล บวมตาปิด ผ่านไป 1 เดือนก็ยังไม่หาย ระหว่างที่ลบคิ้วก็เริ่มสักแก้มด้วยตนเองอีก โดยการเอาสีคุณภาพดีมาผสมลงสัก ผลออกมาเป็นวงๆเกินไป ดูไม่เหมือนปัดแก้มเองตามปกติ จึงไม่ชอบ เลยใช้สมุนไพรที่สั่งซื้อจากอินเตอร์เน็ทตัวเดิมลงมือลบแก้มเองไปพร้อมกับการลบคิ้ว ปรากฎผลแก้มออกมาเป็นแผลสีเทาบวมด้านเหมือนพลาสติกโดนเผา"

 
   น.ส.ริสรินกล่าวว่า ขณะนั้นไปเจอเพื่อนที่มีความรู้ด้านเซรั่ม และคิดว่าสมุนไพรที่สั่งมาจากอินเตอร์เน็ทแรงไป จึงสู้และคิดเทคนิคหาสูตรขึ้นมาเอง และทำเซรั่มเป็นของตนเองนำมาลบคิ้วตนเอง ทำ 2-3 ครั้ง บวกกับใช้วิธีตนเองที่ค่อยๆสกิดแผลออกเบาๆ ผลออกมาดีและหายสามารถลบคิ้วได้

สักแก้มเอง

   "ระยะเวลา 6-7 เดือน ที่มีหน้าตาที่เปลี่ยนไป รู้สึกท้อมาก ต้องคอยเอาที่คาดปากปิดปาดตลอดเวลาพร้อมตัดผมหน้าม้าเผื่อปิดบังแผลที่หน้า ตอนนั้นร้องไห้หนักมาก เดินไปไหนก็มีแต่คนมองหน้า คงคิดว่าคนนี้หน้าเป็นอะไร ดีที่มีแฟนคอยเป็นกำลังใจให้ และเราต้องสู้ต่อที่จะแก้ปัญหา ศึกษาหาข้อมูลเผื่อมาแก้ไข คิดว่าเรามีมือมีเท้าทำมาหากิน หน้าพังแล้วคงไม่มีอะไรพังไปมากกว่านี้"